การวิจัยแสดงให้เห็นว่า... สาร CBD ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง

Last updated: 18 เม.ย 2565  |  913 จำนวนผู้เข้าชม  | 

 

 

ENERGROW NEWS : การวิจัยแสดงให้เห็นว่า...
สาร CBD ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง
.
การวิจัยใหม่ที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยของออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์และ (published) ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA (The Journal of the American Medical Association) เพื่อตรวจสอบว่าสาร CBD มีผลต่อการขับรถอย่างไรและพบว่าในขณะที่สาร THC สามารถทำให้เกิดปัญหาความบกพร่องในการขับขี่รถได้อย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสาร CBD เพียงอย่างเดียวสามารถทำได้
.
Iain McGregor จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการวิจัยกล่าวว่า “ด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วต่อการใช้กัญชาเพื่อการรักษาในทางการแพทย์และไม่ใช่ทางการแพทย์ การขับรถในขณะใช้กัญชากำลังกลายเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่สำคัญและค่อนข้างขัดแย้ง” และ “ในขณะที่การศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้บางส่วนได้พิจารณาถึงผลกระทบของกัญชาในการขับรถ แต่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่กัญชารมควัน (smoked cannabis) ที่มีเฉพาะ THC (ไม่ใช่ CBD) และยังไม่ได้ระบุช่วงระยะเวลาของความบกพร่องในการขับขี่ได้อย่างแม่นยำ”
.
เนื่องจากมีการทำให้กัญชาถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศ สาร CBD ในกัญชาจึงได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมาก กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกาและหลายคนมักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD เพื่อบรรเทาอาการปวด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช้สาร THC เนื่องจากผิดกฎหมายหรือไม่ต้องการให้มีอาการเคลิบเคลิ้มมึนเมามาก ดังนั้นข้อมูลนี้จึงสำคัญมากในการเข้าถึง
.
โดยการวิจัยเพื่อตรวจสอบดูว่าสาร CBD มีผลต่อการขับรถอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมจริง นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบการขับรถระหว่างการใช้สาร CBD กับการขับรถโดยไม่ใช้ CBD และการขับรถโดยใช้สาร THC เท่านั้นกับการขับรถโดยใช้ทั้ง THC และ CBD รวมกัน
.
ในการทดสอบ ผู้เข้าร่วมการทดสอบขับรถบนถนนทางหลวง 40 นาทีหลังจากได้ใช้กัญชาด้วยเครื่องสูบไอไฟฟ้า (vaping) และสี่ชั่วโมงหลังจากนั้นอีกครั้ง จากนั้นผู้รับการทดสอบจะถูกติดตามเพื่อดูว่าพวกเขาหักเลี้ยวหรือขับหลบหลีก แกว่งไกวในเลนของพวกเขามากแค่ไหน รวมถึงพวกเขายังคงขับขี่เป็นเส้นตรงได้ดีเพียงใดในขณะที่ใช้สาร THC หรือสาร CBD หรือในบางกรณีหากไม่มีสารอย่างใดอย่างหนึ่ง
.
เมื่อวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่าไม่มีความแตกต่างในความบกพร่องต่อการขับขี่ระหว่างช่วงการมีสติปกติและการสูบไอ CBD เพียง 40 นาทีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการวิจัยตรวจพบความบกพร่องเพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ THC และ CBD รวมกัน รวมถึงใช้เฉพาะ THC เท่านั้น
.
“การค้นพบนี้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่าเมื่อมีการใช้สาร CBD โดยไม่มีสาร THC จะไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับรถของผู้เข้าร่วมการทดสอบ” Thomas Arkell ผู้เขียนการวิจัยกล่าว “นั่นเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่กำลังใช้หรือพิจารณาการรักษาโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี CBD เป็นส่วนผสม”
.
การวิจัยนี้มีความสำคัญด้วยอีกเหตุผล ซึ่งไม่พบความบกพร่องใดๆ เลยสี่ชั่วโมงหลังการสูบไอด้วยเครื่องสูบไฟฟ้า (vaping) แม้ว่าสาร THC จะเกี่ยวข้องก็ตาม ทั้งนี้การศึกษาวิจัยในอดีตแสดงให้เห็นว่าสามชั่วโมงเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ใช้จะได้รับความบกพร่องจากกัญชาหลังจากสูบกัญชา (smoking) หรือสูบไอระเหย (vaping) หากเกี่ยวข้องกับสาร THC และสิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนเพิ่มเติม
.
นี่เป็นสิ่งสำคัญมากและเป็นการเน้นย้ำว่าการตรวจสอบสารกัญชาริมถนนที่สามารถตรวจจับชั่วโมงการใช้กัญชาหรือแม้กระทั่งหลังจากการสูบกัญชามาหลายวันไม่ใช่มาตรวัดที่ยุติธรรมว่าขับรถมีความบกพร่องหลังพวงมาลัยหรือไม่ ในบางกรณีกัญชาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเผาผลาญ
.
“ความปลอดภัยทางถนนถือเป็นปัญหาหลัก” Arkell กล่าว “ ผลลัพธ์เหล่านี้ควรอนุญาตให้มีกฎหมายและข้อบังคับตามหลักฐานสำหรับผู้ที่ได้รับกัญชาทางการแพทย์”
.
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ข้อมูลสุดท้ายอย่างแน่นอนเมื่อพูดถึงกัญชาและการขับรถ และต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายสิ่งนี้ให้การสนับสนุนที่สำคัญสำหรับแนวคิดที่ว่าสาร CBD ไม่ทำให้คนขับรถเกิดความบกพร่องในการขับ และ การใช้สาร THC จะทำให้คนขับรถมีความบกพร่องลงเพียงประมาณสามชั่วโมงหลังการใช้งาน
.
.
ข้อมูลจาก https://www.cannhealth.org/content/8313/cannhealth
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ติดตามข่าวสารและองค์ความรู้เรื่องกัญชงเพื่อสุขภาพได้ที่นี่
https://www.energrowthailand.com
#Energrowthailand #เอ็นเนอร์โกรไทยแลนด์ #กัญชงไทย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้